ประเทศไทยได้เริ่มบุกเบิกงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมาอย่างจริงจังตั้งแต่ปี
พ.ศ.2504 เป็นเวลา 20 ปี เต็ม
โดยรัฐได้กำหนดให้มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติขึ้นมาเป็นระยะๆ
ติดต่อกันมาถึง 4 แผน
เพื่อใช้เป็นกรอบนำในการระดมและจัดสรรทรัพยากรเศรษฐกิจ กำลังเงิน กำลังคน
และระบบงานของรัฐมาทำการบูรณะ
ขยายกิจกรรมขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างระบบการผลิต การจำหน่าย
และความเป็นอยู่ของประชาชนจนทำให้ประเทศสามารถก้าวเข้ามาสู่สังคมเศรษฐกิจ
ที่มีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้นโดยลำดับ
ทั้งนี้ก็เป็นที่ประจักษ์และยอมรับกันโดยทั่วไปในหมู่สถาบันเศรษฐกิจและการ
เงินระหว่างประเทศว่า
เศรษฐกิจไทยได้ประสบผลสำเร็จในการขยายและกระจายฐานกำลังผลิตแทบทุกสาขาไป
อย่างกว้างขวาง
ตลอดทั้งได้เร่งการส่งออกและเพิ่มการมีงานทำขึ้นในอัตราที่สูงมากเมื่อ
เปรียบเทียบกับบรรดาประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยกัน
ทั้งหมดนี้นับว่าเป็นพลังอันสำคัญที่ช่วยผลักดันระดับฐานะเศรษฐกิจไทยให้พ้น
จากประเทศที่มีรายได้ต่ำเข้ามาอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มี
“รายได้ปานกลาง” แล้วในปัจจุบัน
ทั้งนี้จะเป็นได้ว่าในช่วงเวลา 20 ปีที่ได้มีการเร่งรัดพัฒนาประเทศนั้น
ฐานะเศรษฐกิจและรายได้ประชาชาติได้ขยายขึ้นกว่า 14 เท่าตัว
คือจากฐานเศรษฐกิจที่มีมูลค่าการผลิตเพียง 60,000 ล้านบาทในปี
2504 มาเป็น 817,000 ล้านบาทในปี 2524
ในขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อบุคคลของไทยได้เพิ่มขึ้นถึง 8 เท่าตัวในช่วงเดียวกัน คือจาก 2,200 บาทต่อคนในปี 2504
มาเป็น 17,200 บาทต่อคนในปี 2524 ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการของไทยได้เพิ่มขึ้นกว่า 16 เท่าตัว คือจากมูลค่าการส่งออกเพียง 9,900 ล้านบาทในปี
2504 เพิ่มเป็น 163,000 ล้านบาทในปี 2524
เป็นต้น
ฉะนั้น ใน 5 ปี
ข้างหน้า
ซึ่งถือว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของระบบเศรษฐกิจไทยนั้น
หากได้มีการปรับโครงสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพเศรษฐกิจ
ตลอดทั้งจัดให้มีการฟื้นฟูฐานะทางการเงินและแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้ากับ
ต่างประเทศได้ตามเป้าหมายและแนวนโยบายที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติฉบับที่
5 นี้แล้ว เป็นที่เชื่อมั่นว่าฐานะเศรษฐกิจของไทยจะมั่นคงก้าวไปสู่
“ประเทศกึ่งอุตสาหกรรม” ได้
อย่างแน่นอน
กล่าวคือ
จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยที่การผลิตและรายได้จากภาค
อุตสาหกรรมไทยจะขยายสัดส่วนขึ้นใกล้เคียงกับภาคเกษตรฐานเศรษฐกิจและรายได้
ประชาชาติจะก้าวเข้าสู่เป้า
1,860,000 ล้านบาท โดยที่รายได้เฉลี่ยต่อบุคคลจะเพิ่มขึ้นเป็น
2 เท่าตัวจากปัจจุบัน คือจะเป็นประมาณ 35,700 บาทต่อคนในปี 2529 ขณะที่มูลค่าการส่งออกของไทยจะย่างเข้าสู่เป้า
445,000 ล้านบาทในปีสุดท้ายของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 5 นอกจากนั้นโครงสร้างการผลิตและการส่งออกจะมีความสมดุลขึ้น โดยการที่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมจะมีบทบาทมากขึ้น
คือ เป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 40 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดในปี
2529 และเป็นที่เชื่อมั่นว่า
ความเจริญและกิจกรรมเศรษฐกิจต่างๆ จะกระจายออกสู่ส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นต่างๆ มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ความเจริญและกิจกรรมเศรษฐกิจต่างๆ จะกระจายออกสู่ส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นต่างๆ มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่ทราบกันอยู่ทุกวงการว่า
การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 20 ปี
ที่ผ่านมานั้น ได้สร้างสมปัญหาและบั่นทอนเสถียรภาพและการเงินของประเทศ
ทั้งได้ยังความเสื่อมโทรมให้แก่ฐานทรัพยากรเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพยากรที่ดิน พลังงาน แหล่งนั้น ป่าไม้
หรือแหล่งประมงได้ถูกทำลายและนำมาใช้อย่างสิ้นเปลืองและขาดการอนุรักษ์
ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาได้ส่ง
ผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมทางสังคมและสร้างความแออัดในเมืองมากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมทางด้านวัฒนธรรม ค่านิยม สุขภาพจิตและความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดทั้งมีปัญหายาเสพติดทวีขึ้น นอกจากนั้น ก็เป็นที่ยอมรับอีกเช่นกันว่า ผลการพัฒนาและความเจริญทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาได้เกิดขึ้นเฉพาะบางบริเวณหรือในพื้นที่บางส่วนของประเทศเท่านั้น กล่าวคือ การพัฒนามิได้กระจายไปอย่างทั่วถึง ยังมีพื้นที่และประชาชนในชนบทอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาที่ผ่านมา และยังมีความเป็นอยู่ที่ล้าหลังและมีฐานะยากจนอยู่อย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ประมาณว่ายังมีประชากรในชนบทอีกกว่า 10 ล้านคนที่อยู่ในข่ายยากจน
ผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมทางสังคมและสร้างความแออัดในเมืองมากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมทางด้านวัฒนธรรม ค่านิยม สุขภาพจิตและความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดทั้งมีปัญหายาเสพติดทวีขึ้น นอกจากนั้น ก็เป็นที่ยอมรับอีกเช่นกันว่า ผลการพัฒนาและความเจริญทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาได้เกิดขึ้นเฉพาะบางบริเวณหรือในพื้นที่บางส่วนของประเทศเท่านั้น กล่าวคือ การพัฒนามิได้กระจายไปอย่างทั่วถึง ยังมีพื้นที่และประชาชนในชนบทอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาที่ผ่านมา และยังมีความเป็นอยู่ที่ล้าหลังและมีฐานะยากจนอยู่อย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ประมาณว่ายังมีประชากรในชนบทอีกกว่า 10 ล้านคนที่อยู่ในข่ายยากจน
นอกจากนั้นการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจของโลกในช่วง 7 - 8 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน
วิกฤตการณ์ด้านการเงินระหว่างประเทศ
ภาวะเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจชะงักงันของโลกได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก
ทั้งนี้เพราะมีการทำมาค้าขายและพึ่งการนำเข้าพลังงาน สินค้าทุน และปัจจัยการผลิตหลายอย่างจาก
ต่างประเทศในอัตราสูง ขณะเดียวกันยังมิได้มีการปรับตัวและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้ากับสภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของโลกเท่าที่ควร ประจวบกับภาวะความตึงเครียดในหมู่ประเทศเพื่อนบ้านได้สร้างสมและเพิ่มความกดดันทางเศรษฐกิจการครองชีพ และการบริหารงานด้านความมั่นคงของประเทศมากขึ้น
ต่างประเทศในอัตราสูง ขณะเดียวกันยังมิได้มีการปรับตัวและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้ากับสภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของโลกเท่าที่ควร ประจวบกับภาวะความตึงเครียดในหมู่ประเทศเพื่อนบ้านได้สร้างสมและเพิ่มความกดดันทางเศรษฐกิจการครองชีพ และการบริหารงานด้านความมั่นคงของประเทศมากขึ้น
ทั้ง
นี้
จะเห็นได้ว่าขีดความสามารถของกลไกบริหารพัฒนาของรัฐเองก็มีข้อจำกัดหลาย
ประการ
เพราะไม่ได้มีการปฏิรูประบบบริหารงานพัฒนาของรัฐทั้งในส่วนกลางและส่วน
ภูมิภาคที่จะสามารถรับมือได้กับปัญหาต่างๆ
ที่ประดังเข้ามา
ยังขาดระบบการประสานงานที่ดีทั้งด้านการกำหนดนโยบายและการแปลงแผนไปสู่ภาค
ปฏิบัติตลอดทั้งการประสานการแก้ปัญหาเศรษฐกิจร่วมกับภาคเอกชน
ทั้งนี้เพราะว่าปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นปัญหารากฐานขั้น
โครงสร้างที่ไม่สามารถจะแก้ไขได้โดยวิธีการเฉพาะหน้าระยะสั้นอย่างง่ายๆ
แต่จะต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่จะต้องยอมรับความเป็น
จริงของโลกในปัจจุบัน
โดยการลดความหวังลงบ้าง และหันมาร่วมกันปรับตัวเอง
ซึ่งอาจจะต้องเผชิญกับความยุ่งยากในระยะแรกนี้บ้าง
ในการนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมกันสร้างวินัยเศรษฐกิจในชาติ
เพื่อให้โอกาสแก่ระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยได้ปรับตัวไปในทิศทางใหม่ให้สามารถ
รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ในอนาคต
นอก
จากนั้นการพัฒนาประเทศจะต้องสร้างความสมดุลและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจเพื่อ
ลดช่องว่าทางสังคมลงโดยให้มีการกระจายการถือครองสินทรัพย์เศรษฐกิจ
ลดการผูกขาดและการเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจลง
ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความมั่นคงและความอยู่รอด
ทางการเมืองของชาติในอนาคต
หากสามารถแก้ไขปัญหารากฐานเหล่านี้ได้
ประเทศก็สามารถจะก้าวไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและความสมานฉันท์ปรองดองกันใน
ชาติสืบต่อไปใน
10 ปีข้างหน้า
ดังนั้น การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 จึงได้ปรับแนวความคิดในการพัฒนาประเทศ “แนวใหม่”
ซึ่งแตกต่างไปจากแผนพัฒนาฯ ฉบับที่แล้วๆ มา โดยถือว่าเป็น “แผนนโยบาย” ที่มีความชัดเจนพอที่จะแปลงไปสู่ภาคปฏิบัติได้และมีลักษณะพิเศษ
ดังนี้คือ
ประการแรก : เน้น “การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ” มากกว่า “การมุ่งขยายอัตราความเจริญทางเศรษฐกิจ” แต่อย่างเดียว
ทั้งนี้เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจและการผลิตภายในประเทศสามารถปรับตัวรับกันสถานการณ์ของโลกในอนาคต
โดยเน้นการ “เพิ่มประสิทธิภาพเศรษฐกิจและการเพิ่มผลผลิต”
เป็นหลัก
แทนที่จะมุ่งเป้าหมายที่จะขยายอัตราความเจริญทางเศรษฐกิจส่วนรวมแต่เพียงอย่างเดียวอย่างที่เคยกระทำมา
ทั้งนี้เพราะมีความจำเป็นจะต้องฟื้นฟูฐานะการเงินของประเทศที่ได้ใช้จ่ายเกินตัว
และแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าและการคลังของประเทศให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสม
โดยร่วมกันสร้างวินัยเศรษฐกิจในชาติเพื่อควบคุมรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและประหยัดการใช้พลังงานของประเทศให้ลดลง
ขณะเดียวกัน จำเป็นที่จะต้องเร่งการผลิตเพื่อส่งออกหารายได้เข้าประเทศให้มากขึ้น
ประการที่สอง : เน้น “ความสมดุล” ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
โดยมุ่งการกระจายรายได้และความเจริญไปสู่ส่วนภูมิภาค
สร้างความเป็นธรรมในสังคม
และการกระจายการถือครองสินทรัพย์เศรษฐกิจให้มากขึ้น
ขณะเดียวก็จะเน้นความสมดุลของการพัฒนาระหว่างสาขาเศรษฐกิจ
ระหว่างพื้นที่และระหว่างกลุ่มเป้าหมายต่างๆ
มากกว่าที่จะปล่อยให้ผลประโยชน์จากการพัฒนาเกิดขึ้นเฉพาะบางพื้นที่หรือตก
อยู่ในบางกลุ่มชนอย่างที่เคยเป็นมา
ประการที่สาม : เน้น “การแก้ปัญหาความยากจน” ของคนชนบทในเขตล้าหลัง เป็นเห้าหมายสำคัญเพื่อให้ประชาชนในชนบทเหล่านี้ได้มีโอกาสช่วยตัวเองและมีส่วนร่วมในขบวนการผลิตและพัฒนาประเทศได้ต่อไปในอนาคต
ประการที่สี่ : มุ่งการประสานงานพัฒนาเศรษฐกิจ
สังคม และการบริหารงานรักษาความมั่นคงของชาติ ให้สอดคล้องสนับสนุนกันอย่างได้ผล
ประการที่ห้า : เน้นการแปลงแผนไปสู่ภาคปฏิบัติ โดยการปฏิรูปขบวนการวาง
แผนงาน การจัดทำงบประมาณแผ่นดิน การบริหารกำลังคนให้สอดประสานกัน ขณะเดียวกันจะทำการปรับหรือพัฒนาองค์กรของรัฐทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ให้สามารถนำเอานโยบายและแผนงานพัฒนาที่สำคัญไปปฏิบัติให้ได้ตามเป้าหมายที่ วางไว้ โดยการจัดทำ “แผนปฏิบัติการ” ระดับกระทรวงและสาขาการพัฒนาที่สำคัญๆ ขึ้น ขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะจัดทำ “แผนลงทุนระยะ 3 ปี” เพื่อเป็นแนวในการจัดทำงบประมาณแผ่นดินและระดมเงินกู้และความช่วยเหลือจากต่างประเทศ โดยถือว่าแผน
พัฒนาฯ ฉบับที่ 5 เป็นแผนวางกรอบนโยบายเท่านั้น ขณะเดียวกันจะเร่งให้มีการกระจายอำนาจการพัฒนา บริหารประเทศไปสู่ส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาชนบท
แผนงาน การจัดทำงบประมาณแผ่นดิน การบริหารกำลังคนให้สอดประสานกัน ขณะเดียวกันจะทำการปรับหรือพัฒนาองค์กรของรัฐทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ให้สามารถนำเอานโยบายและแผนงานพัฒนาที่สำคัญไปปฏิบัติให้ได้ตามเป้าหมายที่ วางไว้ โดยการจัดทำ “แผนปฏิบัติการ” ระดับกระทรวงและสาขาการพัฒนาที่สำคัญๆ ขึ้น ขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะจัดทำ “แผนลงทุนระยะ 3 ปี” เพื่อเป็นแนวในการจัดทำงบประมาณแผ่นดินและระดมเงินกู้และความช่วยเหลือจากต่างประเทศ โดยถือว่าแผน
พัฒนาฯ ฉบับที่ 5 เป็นแผนวางกรอบนโยบายเท่านั้น ขณะเดียวกันจะเร่งให้มีการกระจายอำนาจการพัฒนา บริหารประเทศไปสู่ส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาชนบท
ประการสุดท้าย : เน้น “บทบาทและระดมความร่วมมือจากภาคเอกชน” ให้เข้ามาร่วมในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจการผลิตในสาขาเกษตร
อุตสาหกรรม การพัฒนาพลังงานและเร่งการส่งออก โดยรัฐจะทบทวนกฎหมายและกฎเกณฑ์ต่างๆ
เพื่อลดการแทรกแซงและอำนวยความสะดวกต่อการพัฒนาธุรกิจของเอกชนตามเป้าหมายของแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 5 โดยจะเสริมสร้างบทบาทและสมรรถภาพขององค์กรหรือสถาบันธุรกิจเอกชนที่สำคัญให้เข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
และแบ่งเบาภาระของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศต่างๆ
ต่อไป
นอกจากนั้น
รัฐบาลจำเป็นจะต้องให้การสนับสนุนนโยบายและเป้าหมายการพัฒนาด้านต่างๆ
ของแผนพัฒนาอย่างใกล้ชิด โดยสั่งการให้กระทรวง ทบวง กรม และรัฐวิสาหกิจต่างๆ
นำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และจะต้องจัดให้มีศูนย์ติดตามประเมินผลการพัฒนาทั้งในระดับชาติ
ระดับกระทรวง และระดับท้องถิ่นขึ้น
เพื่อกำกับการนำแผนลงสู่ภาคปฏิบัติให้เข้าสู่เป้าหมายและสั่งการแก้ไขให้ทันกาล
ตลอดทั้งจัดให้มีระบบประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจและยอมรับแนวนโยบายการพัฒนาประเทศ
ตลอด
ต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น